classstart

เข้าสู่บทเรียน คลิก

http://www.classstart.org/member#/classes/12511

ClassStart กับ การศึกษาเพื่อศตวรรษที่ 21

หลังจากที่ได้อ่านหนังสือ 21st Century Skills – Rethinking How Students Learn ทำให้เห็น Requirements ของการพัฒนาระบบสนับสนุนการเรียนรู้เพื่อการศึกษาแห่งศตรรษที่ 21 ได้ค่อนข้างชัดเจนค่ะ

ตัวอย่าง Requirements ของระบบสนับสนุนการศึกษาเพื่อ 21 Century Skills ที่ดิฉันสรุปออกมาบางส่วน

และในวันศุกร์นี้ ดิฉันจะไปเป็นวิทยากรอบรม ClassStart.org ให้กับ อ. วัลลา ที่ ม.วลัยลักษณ์ค่ะ ก็จะพยายามแนบเรื่องครูเพื่อศิษย์และ 21st Century Skills ไว้ด้วยค่ะ

ดิฉันได้เตรียมเอกสารแนะนำระบบ ClassStart ฉบับล่าสุด (16 มค. 55) ไว้ตามด้านล่างนะคะเป็น pdf files

โดยในเอกสาร ดิฉันได้สรุปและเขียนสร้างความเข้าใจเรื่อง 21st Century Skills ไว้ด้วยค่ะเพื่อสร้างแรงบันดาลใจแก่นักการศึกษา และเพื่อให้เห็น features ในปัจจุบันและอนาคตของระบบของ ClassStart ที่จะสนับสนุนการเรียนรู้เพื่อศตรรษที่ 21 ค่ะ

1) แบบไม่มี Background ใน slides
2) แบบมี Background สวยงามชัดเจนดีค่ะ (16MB)

ตัวอย่างหน้า Slides

Cloud

เข้าสู่บริการ Cloud  ต่างๆ คลิกที่ลิงค์ล่างนี้

http://natwara009sit.wix.com/computerhardware#!untitled/cmg0

หรือคลิกที่รูปภาพ ด้านล่างนี้ได้เลยค่ะ

aboutme_380x128 blogger flickr_logo gplus-logo images (13) images (14) images (15) soundcloud-logo ted_logo url ดาวน์โหลด

Network Operation Center (NOC)

Network Operation Center (NOC) เป็นหน่วยงานที่อยู่ภายใต้การดูแลของศูนย์คอมพิวเตอร์ สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช โดยมีวัตถุประสงค์ในการดูแลระบบเครือข่ายหลักของมหาวิทยาลัยเพื่อให้เกิดประโยชน์ในการใช้งานทางด้านวิชาการ การเรียนการสอน และงานวิจัยของทางมหาวิทยาลัย โดยใช้ชื่อว่า “ศูนย์ออกแบบและพัฒนาระบบเครือข่าย” ซึ่งปัจจุบันทางศูนย์ดำเนินการดูแลระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตและระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์หลักของมหาวิทยาลัยที่ได้ทำการเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงซึ่งเชื่อมต่อกันได้ทั่วโลก

ระบบเครือข่าย Network Operation Center

ความเป็นมาของ เครือข่าย NOC

โครงสร้างพื้นฐานของงานสารสนเทศขององค์กรเพื่อทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารการใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์ร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ การจัดทำระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์เพื่อรองรับการจราจรของข้อมูลข่าวสารจึงนับว่ามีความสำคัญสำหรับองค์กรโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสถาบันการศึกษา ดังนั้นเครือข่าย NOC จะต้องมีการออกแบบระบบเครือข่ายในองค์กรที่ดีเพื่อรองรับการจราจรข้อมูลที่จะเกิดขึ้นและสะดวกในการจัดการเครือข่าย

การออกแบบ เครือข่าย NOC มีเกณฑ์ในการพิจรณาออกแบบดังนี้

  1. เพื่อให้เครือข่ายคอมพิวเตอร์รองรับการสื่อสารข้อมูลที่มีความเร็วสูง (ไม่น้อยกว่า1 Gbps)
  2. เพื่อแยกส่วนเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของงานบริหารและงานบริการการเรียนการสอนได้อย่างชัดเจน
  3. เพื่อให้เชื่อมโยงไปยังเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
  4. ระบบเครือข่ายจะต้องใช้เทคโนโลยีที่เป็นมาตรฐานและเป็นที่นิยมในการใช้งาน

เครือข่ายย่อยของแต่ละเครือข่ายมีเทโปโลยีแบบดาวทำงานที่ IOS Network Layer 2 และเชื่อมโยงกันไปที่ Internet Backbone ในลักษณะ Callapsed backbone ที่ IOS Network Layer 3 เครือข่ายย่อยแต่ละเครือข่ายมีโครงสร้างเป็นแบบ Collapsed backbone เช่นกันโดยการเชื่อมโยงระหว่างอาคาร ใช้สายใยแก้วนำแสง และการเชื่อมโยงภายในอาคาร ใช้สายคู่ตีเกลียว (Unshieled Twisted Pair : UTP) Category 5 ซึ่งมี Switch hub ที่ช่วยในการเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ของเครือข่ายและทำงานที่ IOS Network Layter 2

Collapsed backbone เป็น backbone ที่สามารถวางใจได้ในการเชื่อมโยงและเป็นการเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์แม่ข่ายต่างๆไว้ที่เป็นศูนย์กลางของระบบซึ่งbackboneของมหาวิทยาลัยสามารถติดตั้งได้ที่ศูนย์คอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัย

1

ข้อกำหนดของ Backbone LAN

1.Network Protocal Support : TCP/IP

2.Management Protocal System : SNMP

3.Backbone Capcity : 100-1000 Mbps

โปรโตคอลที่ใช้งาน NOC นั้น Transmission Control Protocal/Internet Protocal (TCP/IP) เป็นโปรโตคอลหลักที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารของคอมพิวเตอร์บนเครือข่าย

เทคโนโลยีอีเทอร์เน็ต (Ethernet Technology) เป็นเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับ NOC เพราะเป็นเทคโนโลยีทีนิยมใช้แพร่หลายทั่วโลก สามารถขยายขอบเขตของการใช้งานได้อย่างเป็นอิสระ และมีความคงทนของเครือข่ายหากเกิดความเสียหาย ซึ่งจะทำให้การทำงานชะงักงันเฉพาะส่วนที่เสียหายเท่านั้น

Internet Connection

การเชื่อมต่อระบบแลนภายในของมหาวิทยาลัยแต่ละระบบเข้ากับเครือข่าย Internet ซึ่งถือเป็นกลยุทธหลัก ในการใช้งานของระบบเครือข่ายฃของมหาวิทยาลัย และเป็นช่องทางสำหรับติดต่อสื่อสารที่สำคัญของบุคลากรและนักศึกษา Public Access

การเข้าใช้เครือข่ายและทรัพยากรทางคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยเช่น Web server ของมหาวิทยาลัย ระบบห้องสมุด , E-Services , E-Classroom , E-Office เป็นต้น บุคลากรและนักศึกษาของมหาวิทยาลัย จะต้องสามารถใช้งานได้ ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต

โครงสร้างพื้นฐาน

ทางมหาวิทยาลัย ได้มีการจัดหาโครงสร้างพื้นฐานในการให้บริการกับอาจารย์ เจ้าหน้าที่ และนักศึกษา โดยได้ทำการจัดหาคอมพิวเตอร์สำหรับห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เชื่อมต่อระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์

ในส่วนของ Server ได้มีการจัดซื้อเครื่อง Server เพื่อติดตั้งโปรแกรมต่าง ๆ เช่น eLibrary ,Web Service ,Domain เป็นต้น เพื่อรองรับต่อการใช้งานที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นตลอดเวลา

ส่วนงาน It Service Unit เป็นหน่วยงานที่ให้บริการความช่วยเหลือเกี่ยวกับงานด้าน Hartware และ Sofeware กับบุคลากรและนักศึกษาของมหาวิทยาลัย เช่น การให้คำตอบเกี่ยวกับเรื่องของระบบสารสนเทศหลักของมหาวิทยาลัย เช่น eService ,eClassroom ,eMail ,ให้คำปรึกษาทางด้านคอมพิวเตอร์ และให้บริการขอใช้สัญญาณ wireless เป็นต้น

ส่วนเทคโนโลยีอื่น ๆ มหาวิทยาลัย ได้มีการติดตั้งระบบ Wireless Lan ภายในมหาวิทยาลัย  ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับอาจารย์ เจ้าหน้าที่ นักศึกษา ในการใช้คอมพิวเตอร์นอกสถานที่ เพื่อการค้นหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต ปัจจุบันมี Access Point มากกว่า  150  จุด

 Windows 8.1 มีอะไรดีเอย

 Windows 8.1 มีอะไรดีเอย

 

คุณอาจจะเห็นว่า Windows 8.1 นั้นหน้าตาคล้ายหรือเหมือนกับ Windows 8 ซึ่งถ้าดูเผินๆ อาจจะเห็นว่าไม่มีอะไรแต่ต่างกันเลย ! แต่จริงๆ แล้วถ้าสังเกตุดีๆ ก็จะเห็นความแตกต่างกันอยู่หลายจุดกันเลยทีเดียว วันนี้เราจึงนำเกร็ดสาระน่ารู้และเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับ Windows 8.1 มาฝากกัน

20 สิ่งน่ารู้ และเคล็ดลับใน Windows 8.1

1. บูทเดสก์ท็อป

วิธีนี้จะเป็นการบูทหน้าเดสก์ท็อปขึ้นมาหลังจากเปิดเครื่อง แทนที่จะบูทหน้าจอสตาร์ท (หน้า Metro)

ขั้นตอน: 1. ไปที่หน้า Desktop >> 2. ครั้งขวาที่ taskbar และเลือก ‘Properties’ >> 3. เลือกหัวข้อ Navigation tab >> 4. ให้ติ๊กที่ ‘Go to the desktop instead of Start when I sign in’

Boot desktop

2. ค้นหาแอพพลิเคชั่น

หน้าจอสตาร์ท (หน้า Metro) เมื่อเลื่อนไปส่วนของแอพพลิเคชั่น จะมีลูกศรเล็กๆ มุมซ้ายล่างให้คลิก เข้าไปจะแสดงข้อมูลแอพโดยจะเปลี่ยนเป็นเรียงตามชื่อตัวอักศร 

find apps

3. เปลี่ยนพื้นหลังได้หลากหลาย

สามารถปรับเปลี่ยนพื้นหลังของหน้าจอสตาร์ท (หน้า Metro) กับเดสก์ท็อปให้เหมือนกันได้หรือจะเปลี่ยนเป็นรูปอีกก็ได้

wallpapers

4. ปิดเครื่องอย่างเร่งด่วน

ตัววินโดว์ 8.1 จะมีออฟชั่นใหม่ขึ้นมาโดย คลิกที่ขอบมุมซ้ายบนเดสก์ท็อป ซึ่งจะมีเมนูใหม่ขึ้นมา สามารถเลือก Shutdown ได้ทันที

Quick shutdown

5. เปิด-ปิดตัวค้นหาอันแสนอัจฉริยะ Bing

วิธีนี้จะช่วยค้นหาข้อมูลต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วด้วยตัวค้นหาอันแสนอัจฉริยะ แต่เมื่อไม่ต้องการ ก็สามารถปิดมันได้เช่นกัน

โดยให้เปิด Settings charm ขึ้นมาแล้วเลือกที่ ‘Change PC settings >> Search and apps >> Search’ จากนั้นปรับ Off ตรง Bing ครับ

Configure Smart Search

6. ปรับขนาดแอพบนหน้าจอสตาร์ท

วิธีนี้สามารถปรับขนาดของแอพบนหน้าจอสตาร์ทได้ด้วย โดย 1. คลิกขวาบนกรอบแอพที่ต้องการ 2. เลือก Resize จากนั้นเลือกขนาดที่ต้องการ

App tiles

7. ล็อคหน้าจอสไลด์โชว์

สามารถทำหน้าล็อคหน้าจอให้เป็นแบบสไลด์โชว์ได้โดย เลือก Setting >> PC and devices >> Lock screen

Lock screen slideshows

8. ตั้งชื่อกรุ๊ป

สามารถตั้งชื่อกรุ๊ปแอพต่างๆ บนหน้าจอสตาร์ท (หน้า Metro) ได้โดยการ คลิกขวาที่หน้าจอสตาร์ท >> เลือก Customise to bring up the labels

Name app groups

9. ปรับขนาดหน้าจอ

ปรับหน้าจอได้ทันทีที่หน้าจอสตาร์ท (หน้า Metro) โดยไม่ต้องเข้าไปที่เดสก์ท็อป หรือคอนโทรลพาเนลเลย

ขั้นตอน: 1. คลิกที่ ‘Settings’ >> 2. เข้าไปที่ ‘Change PC settings’ และเลือก ‘Display’

10

 

10. เอา Hot Corner ออก

วิธีนี้ถ้าไม่ต้องการแถบเครื่องมือที่อยู่ด้านขวาของเทสก์ท็อป ก็สามารถนำมันออกไปได้เช่นกัน โดยไปที่ 1. ‘Setting’ >> 2. ‘PC and devices’ >> 3. ‘Corners & edges’

Disable hot corners

11. IE11 โหมด Reading View

Internet Explorer 11 หรือเรียกว่า IE11 จะติดมาพร้อมกับวินโดว์ 8.1 ซึ่งจะมีฟีเจอร์ใหม่ๆเข้ามาเพิ่ม หนึ่งในนั้นคือโหมด Reading View สามารถเข้าใช้ได้โดย คลิกที่ ไอคอนหนังสือ บนฝั่งขวาของ  Address bar

IE11 Reading View

12. การใช้งานแอพพร้อมกัน

ในวินโดว์ 8.1 นี้สามารถเปิดใช้แอพพร้อมกันโดยแบ่งหน้าจอไว้ที่ตรงกลางได้แล้ว 

App docking

13. การเก็บข้อมูลไปที่ SkyDrive

ขั้นตอน: 1. เปิด Change PC Settings screen >> 2. เข้าไปที่ SkyDrive และเลือกเมนู Files

Save to SkyDrive

14. แถบ Libraries Link

ในวินโดว์ 8.1 จะไม่โชว์แถบ Libraries Link มาเหมือน วินโดว์ 7 แต่ยังสามารถนำมันกลับมาได้เช่นกัน

ขั้นตอน: 1. เปิดเมนู View >> 2. คลิกที่ Navigation pane และเลือก ‘Show Libraries’

15

15. นาฬิกาปลุกอัจฉริยะ

นาฬิกาปลุกที่สามารถตั้งได้หลายเวลา และกำหนดเสียงปลุกเองได้

Sound the alarm

16. เครื่องคิดเลขอัจฉริยะ!

เครื่องคิดเลขที่ช่วยให้เห็นผลลัพธ์ได้เร็วขึ้นกับฟังชั่นใหม่ๆ

Quick calculations

17. อัพเดทแอพพลิเคชั่นอัตโนมัติ

ไม่จำเป็นต้องมานั่งกดอัพเดทเองอีกแล้ว วินโดว์ 8.1 เขามีฟังชั่นคุณชายมานำเสนอ ซึ่งจะช่วยอัพเดทแอพให้อัตโนมัติ สามารถเปิด-ปิด การใช้งานได้ใน Setting บน Store App

App updates

18. การเปิดใช้ System Image Backup

ขั้นตอน: 1. เข้าไปที่ Desktop >> Control Panel >> 2. เข้า System and Security และเลือก File History pane เมื่อทำการเปิดแล้ว System Image Backup link จะปรากฏตรงมุมซ้ายมือด้านล่าง

Create a system image backup

19. แอพแต่งภาพ

แอพแต่งภาพที่มาพร้อมกับฟังชั่นช่วยแต่งภาพ ที่ช่วยให้ทำงานสะดวกมากขึ้น

Edit your pictures

20. แอพช่วยเหลือ

การใช้งานวินโดว์ 8.1 อาจจะดูไม่ง่ายอย่างที่คิดไว้ เลยมีแอพช่วยเหลือที่ให้สามารถเข้าใจและใช้ได้ง่ายขึ้น

Get more help

ขอขอบคุณ

http://tips.thaiware.com/188-Windows-8-1-Tip-Tricks-and-Secrets.html

การสร้างอินโฟกราฟิกส์ให้ดึงดูดความสนใจ (Designing An Amazing Infographics)

การสร้างอินโฟกราฟิกส์ให้ดึงดูดความสนใจ (Designing An Amazing Infographics)
ข้อมูลสารสนเทศสามารถนำมาจัดทำให้สวยงามและมีประโยชน์ หากมีการนำเสนอที่ดี ที่ผ่านมาข้อมูลสารสนเทศจำนวนมากถูกนำมาจัดกลุ่มทำให้ไม่น่าสนใจการจัดทำาข้อมูลให้เป็นภาพกราฟิกจึงเป็นที่นิยมในปัจจุบัน อินโฟกราฟิกส์เป็นการออกแบบให้เป็นภาพที่ช่วยอธิบายข้อมูลที่ซับซ้อนให้เข้าใจง่าย

Hyperakt’s Josh Smith ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบ ได้ค้นพบกระบวนการที่ดีในการออกแบบ อินโฟกราฟิกส์ (Infographics) 10 ขั้นตอน
1. การรวบรวมข้อมูล (Gathering data)
คัดเลือกข้อมูลดิบที่รวบรวมมาแต่ที่ยังไม่เป็นระเบียบ โดยอาจใช้โปรแกรม Microsoft Excel เขียนแหล่งอ้างอิงที่มาของข้อมูลที่เป็นต้นฉบับ บันทึกภาพต่างๆ ที่เกี่ยวข้องจากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย ไม่ควรแยกภาพหรือแผนภาพกับข้อมูลออกจากกัน

2. การอ่านข้อมูลทั้งหมด (Reading everything)
การอ่านข้อมูลเฉพาะจุดเน้นหรืออ่านอย่างผิวเผินให้ผ่านไปอย่างรวดเร็วเพราะคิดว่าเสียเวลาจะทำให้ได้ข้อมูลไม่สมบูรณ์ข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องจะช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมของประเด็นสำคัญ ผู้ออกแบบอินโฟกราฟิกส์ต้องมีทักษะในการจัดการข้อมูลและแน่ใจว่าข้อมูลที่สำาคัญไม่ถูกละเลยที่จะมาสนับสนุนเรื่องราวที่ต้องการนำเสนอ

3. การค้นหาวิธีการเล่าเรื่อง (Finding the narrative)
การเล่าเรื่อง การบรรยาย การนำเสนอข้อมูลที่น่าเบื่อจะทำให้อินโฟกราฟิกส์น่าเบื่อ เว้นแต่ว่าจะค้นพบการนำเสนอเรื่องราวที่ดึงดูดความสนใจอินโฟกราฟิกส์เริ่มที่จุดมุ่งหมายเดียว ขยายความข้อมูลที่ซับซ้อน อธิบายกระบวนการ เน้นที่แนวโน้มหรือสนับสนุนข้อโต้แย้งการหาวิธีการเล่าเรื่องที่น่าสนใจอาจจะยุ่งยากในระยะแรก ถ้าเราคุ้นเคยกับข้อมูลที่มีอยู่จะทำให้สามารถเล่าเรื่องราวได้ การใส่ใจกับเนื้อหาที่สำคัญที่จะช่วยให้การนำเสนอข้อมูลมีคุณค่า

4. การระบุปัญหาและความต้องการ (Identifying problems)
หาเอกลักษณ์ ระบุชื่อ ชี้ตัว แสดงตัว เมื่อได้ข้อมูลมาแล้วนำมาตรวจสอบความถูกต้องอาจมีข้อมูลที่ไม่สนับสนุนหัวข้อหรือประเด็นที่เราต้องการนำาเสนอ ควรมีการอภิปรายหาข้อสรุปที่แท้จริงเพื่อระบุปัญหาและความต้องการผู้ชมต้องการข้อมูลที่มีการจัดการและมีการออกแบบที่ดี มิฉะนั้นจะกลายเป็นหลักฐานที่ไม่ถูกต้องข้อมูลต้องถูกต้องและไม่ผิดพลาด ปรับปรุงข้อมูลและเรื่องราวให้มีเอกลักษณ์ตรงกับหัวข้อศึกษาทบทวนหลายๆ ครั้งหาวิธีการนำเสนอข้อมูลอย่างถูกต้องและมีคุณค่า ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายในการออกแบบให้ชนะใจผู้ชมนักออกแบบที่ดีต้องมีมุมมองและเห็นคุณค่าในรายละเอียดของข้อมูลที่ชัดเจน

5. การจัดลำดับโครงสร้างข้อมูล (Creating a hierarchy)
การจัดลำดับชั้นของข้อมูลเป็นที่นิยมในการสรุปข้อมูล เป็นการนำผู้ชมให้มองเห็นภาพรวมตั้งแต่ต้นจนจบเป็นวิธีการจัดการกับข้อมูลในการสร้างอินโฟกราฟิกและตรึงผู้ชมตามโครงสร้างลำดับชั้นของข้อมูล การจัดรูปแบบข้อมูลตามลำดับจะส่งเสริมให้ผู้ชมเข้าถึงข้อมูลเป็นช่วงระยะของการเล่าเรื่อง ซึ่งกลายเป็นวิธีการที่แพร่หลายในการออกแบบอินโฟกราฟิกส์

6. การออกแบบโครงสร้างข้อมูล (Building a wireframe)
เมื่อพิจารณาตรวจสอบคัดเลือกข้อมูลอย่างละเอียดแล้ว จัดแบ่งข้อมูลเป็นลำดับชั้น และออกแบบโครงสร้างของของข้อมูลผู้ออกแบบควรทำความเข้าใจกับภาพหรือกราฟิกที่เป็นตัวแทนของข้อมูลสำคัญ ที่จัดไว้เป็นลำดับชั้นแล้ว นำไปให้ผู้ชมวิพากษ์วิจารณ์ การออกแบบที่ผ่านการโต้เถียงจากบุคคลในหลายมุมมองที่ให้ข้อเสนอแนะแตกต่างกันออกไป จะเป็นข้อสรุปของการจัดทำาโครงสร้างอินโฟกราฟิกส์

7. การเลือกรูปแบบอินโฟกราฟิกส์ (Choosing a format)
เมื่อสิ้นสุดการกำหนดภาพหรือกราฟิกที่เป็นตัวแทนของข้อมูลแล้ว วิธีจัดกระทำข้อมูลที่ดีที่สุดคือ การนำเสนอข้อมูลด้วยแผนผัง กราฟต่างๆ เช่น กราฟแท่ง กราฟเส้น กราฟวงกลม หรืออาจจะใช้ไดอะแกรม หรือผังงานเพื่ออธิบายกระบวนการทำงาน อาจนำแผนที่มาประกอบในการเล่าเรื่อง หรือบางทีการใช้ตัวเลขนำาเสนอข้อมูลง่ายๆ อาจเป็นวิธีที่ดีที่สุด

8. การกำหนดภาพให้ตรงกับหัวข้อ (Determining a visual approach)
การเลือกใช้ภาพในการทำให้อินโฟกราฟิกส์ให้ดูดีมีสองแนวคิด คือ ใช้ข้อมูลดิบมาจัดทำเป็นกราฟหรือแผนผังให้น่าสนใจ ใช้สี การพิมพ์ และการจัดโครงสร้างในการออกแบบงานให้มีศิลปะ และใช้ลายเส้น วาดภาพหรือคำอุปมาเปรียบเทียบ
ไม่แสดงข้อมูลตัวเลขออกมาอย่างชัดเจน จะเห็นเป็นภาพแสดงแทนข้อมูลคล้ายกับกราฟหรือแผนผังเท่านั้น เราไม่ควรติดยึดกับวิธีการใดวิธีการหนึ่ง ควรผสมผสานวิธีการใช้กราฟ แผนภาพ และแผนผัง ตกแต่งองค์ประกอบด้วยการวาดลายเส้นหรือนำภาพที่เป็นตัวแทนของข้อมูลมาจัดวางซ้อนกันอาจเสริมด้วยข้อมูล สื่อ ตราสัญลักษณ์ และเนื้อหาในการออกแบบให้ตรงกับหัวข้อ

9. การตรวจสอบข้อมูลและทดลองใช้ (Refinement and testing)
เมื่อออกแบบอินโฟกราฟิกส์เสร็จแล้วเริ่มตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียด ผู้ชมจะดูทั้งข้อมูลและภาพที่เล่าเรื่องราว เพื่อให้แน่ใจว่าผลงานที่เสร็จแล้วมีคุณภาพตรงกับหัวข้อและเป้าหมาย ประเมินทั้งการออกแบบและจุดเน้นจนกระทั่งผลงานชัดเจนและเข้าใจง่าย ทดลองให้กลุ่มตัวอย่างชมผลงานและให้ข้อคิดเห็นว่าสามารถเข้าใจได้ง่ายหรือไม่ โดยเฉพาะผู้ที่ไม่เคยเห็นข้อมูลมาก่อน ประเมินกลับไปกลับมาระหว่างผู้ชมและกลุ่มตัวอย่างจนกระทั่งลงตัวได้ข้อยุติ จึงนำเสนอเผยแพร่สู่สาธารณะ

10. การแบ่งปันความรู้ในอินเทอร์เน็ต (Releasing it into the world)
อินโฟกราฟิกส์ส่วนใหญ่เผยแพร่แบ่งปันในอินเทอร์เน็ต มีแพร่หลายเป็นที่นิยม เป็นการทดสอบผลงานข้อมูลที่มีลักษณะที่น่าสนใจจะถูกอ่านโดยบุคคลทั่วไป ข้อมูลที่ถูกตรวจสอบและพิจารณาจากผู้เชี่ยวชาญแล้วไม่ได้หมายความว่าเราจะเป็นผู้ค้นพบวิธีการเล่าเรื่องราวนั้น ถึงแม้ว่าผลงานจะเคยถูกเผยแพร่มาแล้ว การวิพากษ์วิจารณ์จากอินเทอร์เน็ตจะช่วยขยายข้อโต้แย้งและค้นพบวิธีการนำาเสนอข้อมูลวิธีใหม่ได้ข้อคิดเห็นต่างๆ จะได้รับการปรับปรุงแก้ไข ผลงานที่ถูกวิจารณ์จากผู้เชี่ยวชาญมาสู่ตัวเราเหมือนเป็นรางวัลในการทำางาน การออกแบบที่ถูกกลั่นกรองอย่างเข้มข้นเป็นส่วนหนึ่งที่จะสะกดผู้ชม

Untitled
ตัวอย่างอินโฟกราฟิกส์ (Infographics) เรื่อง ก๋วยเตี๋ยวในสวน
เผยแพร่แบ่งปันที่ http://www.gotoknow.org/blog/uthaiwisdom และ http://www.facebook.com/krujongrakUTW

การสร้างอินโฟกราฟิกส์ให้มีประสิทธิภาพ (Designing Effective Infographics)
อินโฟกราฟิกส์เป็นที่นิยมแพร่หลายในอินเทอร์เน็ต เพราะสามารถถ่ายทอดข้อมูลจากการออกแบบที่มีศิลปะอย่างแท้จริง เป็นภาษาสากลที่สามารถเล่าเรื่องราวแม้ว่าดูแค่ภาพที่นำาเสนอ เราสามารถพูดได้ว่าอินโฟกราฟิกส์ไม่มีขอบเขตและขีดจำกัดในการเล่าเรื่องผ่านภาพ การใช้กราฟิกช่วยเพิ่มความสวยงาม แก่สิ่งต่างๆ ทำาให้ข้อมูลน่าประทับใจมีคุณค่าอย่างมีนัยเพื่อที่จะเผยแพร่สู่สาธารณะ

1. เน้นที่หัวข้อหลักหัวข้อเดียว (Focus on a single topic)
สิ่งแรกที่ต้องพิจารณาคือหัวข้อหลักในการสร้างอินโฟกราฟิกส์ คุณจะมีผลงานที่มีประสทธิภาพ ถ้าพยายามตอบคำาถามเดียวจะชัดเจนถ้ารู้ทิศทางของสิ่งที่จะทำา สิ่งนี้จะขจัดความยุ่งยากสำาหรับผู้อ่านและผู้ชม หลังจากกำหนดหัวข้อ
แล้วกำหนดคำถามเฉพาะที่ต้องการคำาตอบในอินโฟกราฟิกส์

2. ออกแบบให้เข้าใจง่าย (Keep it simple)
ตั้งแต่เริ่มออกแบบข้อมูลคุณต้องแน่ใจว่าข้อมูลไม่อัดแน่นซับซ้อนสับสน เข้าใจได้ง่าย ไม่ทำให้ผู้อ่านและผู้ชมยุ่งยาก ภาพที่ซับซ้อนจะทำาให้การตีความผิดพลาดไม่มีประสิทธิภาพ

Untitled
3. ข้อมูลเป็นสิ่งสำาคัญ (Data is important)
การสร้างอินโฟกราฟิกส์ต้องคำนึงถึงข้อมูลที่เกี่ยวกับหัวข้อเป็นสำคัญ การออกแบบต้องไม่ทำเกินขอบเขตของหัวข้อซึ่งจะเป็นการทำลายข้อมูลที่จำเป็น ต้องแน่ใจว่าการออกแบบเน้นที่ข้อมูลและรูปแบบของอินโฟกราฟิกส์

4. แน่ใจว่าข้อเท็จจริงถูกต้อง (Be sure facts are correct)
การทำข้อมูลให้ถูกต้องเป็นสิ่งสำาคัญถ้าไม่ถูกต้องจะลดความน่าเชื่อถือของอินโฟกราฟิกส์ ดังนั้นก่อนที่จะสร้างอินโฟกราฟิกส์ต้องแน่ใจว่าข้อมูลถูกต้อง ศึกษาค้นคว้าหาข้อเท็จจริงและใช้ข้อมูลที่ถูกต้องอย่าลืมอ่านผลงานและตรวจสอบข้อเท็จจริงให้ถูกต้อง

5. ให้อินโฟกราฟิกเป็นตัวเล่าเรื่อง (Let it tell a story)
อินโฟกราฟิกส์ที่มีประสิทธิภาพสามารถเล่าเรื่องราวด้วยภาพวาดหรือกราฟิก ซึ่งสามารถบอกบางสิ่งบางอย่างและสามารถถ่ายทอดข้อมูลได้ถึงแม้ว่าผู้ชมจะไม่ได้อ่านข้อมูลมาก่อน

6. การออกแบบที่ดีทำให้มีประสิทธิภาพ (Good design is effective)
การบรรยายด้วยภาพถ้ามีการออกแบบที่ดีจะดึงดูดใจผู้ชม สิ่งสำคัญคือออกแบบอินโฟกราฟิกส์ให้เข้าใจง่าย ใช้ความคิดสร้างสรรค์ออกแบบให้น่าสนใจ ภาพ กราฟิก สี ชนิด แบบ และช่องว่าง

Untitled
7. ใช้สีที่ดึงดูดความสนใจ (Choose attractive colors)
การใช้สีเป็นสิ่งจำเป็นควรเลือกใช้สีที่กระตุ้นดึงดูดความสนใจผู้ชม ควรศึกษาทฤษฎีการใช้สีด้วย ใช้สีให้ถูกต้องเหมาะสมกับหัวข้อว่าเราจะออกแบบอินโฟกราฟิกส์ให้ใครชม ไม่จำเป็นต้องทำให้มีสีสันมาก อินโฟกราฟิกส์บางชิ้นมีสีเพียงเล็กน้อยก็มีประสิทธิภาพได้

Untitled
8. ใช้คำาพูดที่กระชับ (Use short texts)
การออกแบบภาพที่ใช้ในการนำาเสนอ จำาเป็นต้องสรุปข้อความให้สั้นกระชับตรงกับจุดหมายที่ต้องการนำาเสนอ อาจใช้แผ่นป้ายหรือข้อมูลสั้นๆ มาสนับสนุนภาพ การทำาเรื่องราวให้ดึงดูดความสนใจอาจ
ใช้ตัวเลขมาสรุปเปรียบเทียบข้อมูล และควรใช้ตัวหนังสือที่อ่านเข้าใจง่าย

9. ตรวจสอบตัวเลขข้อมูล Check your numbers)
ถ้านำเสนอข้อมูลด้วยตัวเลขผ่านกราฟและแผนผัง ตรวจสอบความถูกต้องของตัวเลขและภาพวาดและต้องรู้ว่าตัวเลขไหนควรใช้และไม่ควรมีอยู่ ด้วยวิธีนี้จะทำาให้อินโฟกราฟิกส์มีประสิทธิภาพมากขึ้น

10. ทำไฟล์อินโฟกราฟิกให้เล็ก (Make the file size small)
ทำไฟล์อินโฟกราฟิกส์ให้เล็กเพื่อให้ผู้ชมเข้าถึงและดาวน์โหลดข้อมูลได้ง่าย และนำไปใช้ต่อได้ดีตามจุดประสงค์ที่ต้องการ ดาวน์โหลดเร็วและใช้เวลาน้อยในการถ่ายโอนข้อมูลใส่แฟลชไดร์ฟ สามารถแนบไฟล์ส่งอีเมลไปให้ผู้อื่น แต่ไม่ควรลดคุณภาพของรูปภาพควรใช้ไฟล์ที่มีคุณภาพสูงเพื่อที่จะดึงดูดผู้ชมสิ่งที่ไม่ควรทำาในการออกแบบอินโฟกราฟิกส์

ปัจจุบันการใช้อินเทอร์เน็ตแพร่หลายมาก คนส่วนใหญ่จะรับข้อมูลที่เข้าถึงง่ายที่สุด ข้อมูลจำนวนมหาศาลที่แพร่หลายอยู่ในอินเทอร์เน็ต ข้อมูลบางส่วนออกแบบเป็นอินโฟกราฟิกส์ซึ่งถูกตีพิมพ์ออกมาใช้งานด้วย อินโฟกราฟิกส์เป็นเครื่องมือสำคัญในการสอน วงการธุรกิจ เป็นแรงบันดาลใจที่มีอิทธิพล ในการนำเสนอและการสื่อสารข้อมูลที่ยุ่งยากซับซ้อน ประสิทธิภาพของอินโฟกราฟิกส์นั้นต้องอาศัยวิธีการออกแบบที่มีพลังที่ยิ่งใหญ่ ต่อไปนี้เป็นสิ่งที่ช่วยให้นักออกแบบคำนึงถึงว่าไม่ควรทำ 10 อย่าง

1. อย่าใช้ข้อมูลมากเกินไป (Don’t use too much text)
อินโฟกราฟิกส์เป็นการออกแบบโดยใช้ภาพ ควรมีตัวหนังสือน้อยกว่าภาพหรือแบ่งส่วนเท่าๆ กัน ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่อ่านน้อยและขึ้นอยู่ภาพข้อมูล ถ้าคุณยังคงใส่ตัวหนังสือมากและมีภาพน้อยก็ยังไม่ถึงวัตถุประสงค์ของอินโฟกราฟิกส์

2. อย่าทำข้อมูลที่นำาเสนอให้ยุ่งยากซับซ้อน (Don’t make confusing data presentation)
การนำาเสนอข้อมูลที่ยุ่งยากซับซ้อนผิดวัตถุประสงค์ของการออกแบบอินโฟกราฟิกส์ อย่าเสียเวลาเน้นข้อมูลที่ไม่จำาเป็น และต้องแน่ใจว่าคุณจัดการกับข้อมูลให้ชัดเจนและเข้าใจง่าย ซึ่งมักจะทำาโดยการใช้กราฟ ภาพวาด และกราฟิกอื่นๆ มองดูที่อินโฟกราฟิกส์เหมือนเป็นผู้ชมเองว่าสามารถตอบคำาถามที่คุณต้องการบอกผู้ชมหรือไม่

Untitled
3. อย่าใช้สีมากเกินไป (Don’t overuse color)
การออกแบบอินโฟกราฟิกส์โดยใช้สีมากเกินไปจะทำาให้ประสิทธิภาพในการนำเสนอข้อมูลน้อยลง ผู้อ่านจะไม่สามารถอ่านและเข้าใจเนื้อหาได้ดี ควรศึกษาจิตวิทยาการใช้สีที่ตัดกันด้วยเพื่อคำนึงถึงสุขภาพของผู้ชม

4. อย่าใส่ตัวเลขมากเกินไป (Don’t place too much numbers)
การใช้ตัวเลขช่วยให้การสร้างอินโฟกราฟิกส์มีประสิทธิภาพ แต่อย่าใช้ให้มากเกินไปจะทำให้ผลผลิตของคุณออกมาเหมือนเป็นใบงานวิชาคณิตศาสตร์ จำไว้ว่าคุณต้องใช้กราฟิกนำเสนอจำนวนต่างๆอย่าใช้ตัวเลขทั้งหมดในการทำให้ข้อมูลยุ่งยากซับซ้อน ออกแบบตัวเลขให้ง่ายเท่าที่จะทำได้และแน่ใจว่าข้อมูลถูกต้องเหมาะสมเข้าใจง่าย

5. อย่าละเลยข้อมูลที่ไม่สามารถระบุแยกแยะได้ (Don’t leave figures unidentified)
อินโฟกราฟิกส์บางเรื่องขาดตัวเลขไม่ได้ ข้อเท็จจริงบางอย่างต้องมีตัวเลขข้อมูลทางสถิติ แต่ผู้ชมอาจไม่เข้าใจทั้งหมด ถึงแม้จะมีความชำนาญในการออกแบบ ถ้าใส่ข้อมูลโดยไม่ระบุคำอธิบายลงไปด้วยก็จะเป็นตัวเลขที่ไม่มีประโยชน์ ดังนั้นต้องแน่ใจว่าใส่ป้ายระบุคำาอธิบายของข้อมูลแต่ละชุด

Untitled
6. อย่าสร้างอินโฟกราฟิกส์ให้น่าเบื่อ (Don’t make it boring)
อินโฟกราฟิกส์ส่วนมากจะให้ความรู้ ประโยชน์ และความบันเทิง มีจุดมุ่งหมายที่การจัดการข้อมูลให้ผู้ชมเข้าใจง่าย ถ้าสร้างอินโฟกราฟิกส์ให้น่าเบื่อจะไม่ดึงดูดความสนใจของผู้ชม ต้องวางแผนสร้างแนวทางของเรื่องและการนำาเสนอที่ดี จึงจะสามารถบอกเรื่องราวแก่ผู้ชมตามจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Untitled
7. อย่าใช้วิธีการพิมพ์ผิด (Don’t misuse typography)
หลักการพิมพ์มีบทบาทที่สำคัญในการออกแบบ ที่ช่วยให้อินโฟกราฟิกส์ดูดีขึ้น ทำให้ง่ายในการถ่ายทอดข้อมูล แต่ถ้าใช้ผิดวิธีจะเป็นสิ่งที่เป็นผลเสียในการออกแบบ เราต้องรู้เทคนิคเพื่อที่จะใช้การพิมพ์ที่ดีที่สุดในการนำเสนอและจะไม่ทำให้การตีพิมพ์ผิดไป แน่ใจว่าใช้วิธีการพิมพ์ถูกต้องจะทำให้การตีความไม่ไขว้เขว สังเกตุการใช้สีที่ดีและขนาดของ Fonts ด้วย

8. อย่านำเสนอข้อมูลที่ผิด (Don’t present wrong information.)
ไม่มีใครอยากเห็นอินโฟกราฟิกส์เสนอข้อมูลผิด เพื่อให้แน่ใจควรตรวจสอบข้อมูลสองครั้ง โดยเฉพาะการใช้ข้อมูลทางสถิติถ้าข้อมูลผิดพลาดจะทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดเป็นสิ่งไม่ดี ข้อมูลในอินโฟกราฟิกส์จะต้องแม่นยำ น่าเชื่อถือ และถูกต้อง

9. อย่าเน้นที่การออกแบบ (Don’t focus on design)
อินโฟกราฟิกส์ไม่จำเป็นต้องเน้นที่การออกแบบให้สวยงาม ควรเน้นที่การนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้อง การออกแบบอย่างสวยงามจะไม่มีประโยชน์ถ้ามีข้อมูลผิดพลาดหรือมีประโยชน์น้อย ดังนั้นก่อนสร้างอินโฟกราฟิกส์ดูว่ามีข้อมูลที่จำเป็นทั้งหมดอย่างถูกต้อง การจัดการข้อมูลสามารถนำเสนอได้ชัดเจน แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่สนใจการออกแบบแน่นอนมันสำคัญด้วยเพราะอินโฟกราฟิกส์เป็นการผสมผสานระหว่างข้อมูลและการออกแบบกราฟิกอย่างมีประสิทธิภาพ

10. อย่าใช้แบบเป็นวงกลม (Don’t use a circus layout)
แบบอินโฟกราฟิกส์ควรจะดีและสามารถชี้นำาผู้ชมดูทั้งหมด อย่าใส่องค์ประกอบทุกที่ที่เราคิดควรพิจารณาว่าผู้ชมจะสนใจจุดไหน ต้องแน่ใจว่าผู้ชมสามารถเข้าใจในวิธีการนำาเสนอ อย่าออกแบบเป็นวงกลม ผู้นำเสนอไม่ต้องการให้ผู้อ่านยุ่งยากเพราะไม่ได้ใส่ข้อมูลที่ดีไว้

ที่มา :
www.fastcodesign.com/1670019/10-steps-to-designing-an-amazing-infographic
http://naldzgraphics.net/tips/infographics-designing-tips//
http://naldzgraphics.net/tips/donts-in-infographics/
http://www.krujongrak.com

10rules_3_

10 เคล็ดเพื่อการสร้าง Infographic สุดแจ่มที่จะสามารถทำให้เกิดเป็นกระแสหรือ Viral บอกต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การนำเสนอข้อมูลในรูปแบบ Infographic กลายเป็นทางเลือกใหม่ในการนำเสนอข้อมูลที่ได้รับความนิยมและเริ่มพบเห็นกันได้บ่อยในบ้านเรา สำหรับใครที่สนใจและอยากทดลองทำอินโฟกราฟฟิกด้วยตัวเอง คงจะดีไม่น้อยถ้าลองเดินตามเว็บไซต์ Avalancheinfographics.com ที่รวบรวม 10 เคล็ดลับในการทำอินโฟกราฟฟิกไว้อย่างครอบคลุม

1. กำหนดเป้าหมายอย่างชัดเจนในการนำเสนออินโฟกราฟฟิกว่าต้องการนำเสนอเพื่อจุดประสงค์อะไร เช่น ต้องการเข้าถึงและหาลูกค้ากลุ่มใหม่, เพื่อสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์, เพื่อการศึกษา หรือเพื่อต้องการความบันเทิงกับผู้อ่าน อย่าลืมว่าการกำหนดเป้าหมายอย่างชัดเจนในการทำอินโฟกราฟฟิกจะช่วยทำให้สามารถเลือกรูปแบบการนำเสนอได้อย่างง่ายดายและเหมาะสมมากขึ้น

2. กำหนดกลุ่มเป้าหมายในการนำเสนอว่าเป็นผู้ชมกลุ่มไหน เพื่อเป็นประโยชน์ในการเลือกหัวข้อและการเลือกใช้ระดับของภาษาให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย

3. มีการกำหนดใจความสำคัญในการนำเสนออินโฟกราฟฟิกเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น เพื่อเป็นการป้องกันการสับสนของผู้ชมในการเข้าถึงข้อมูล

4. เนื้อหาที่นำสนอบนอินโฟกราฟฟิกต้องมีความทันสมัยสดใหม่ รวมถึงยังต้องสามารถสื่อสารได้อย่างตรงประเด็น, สั้นและกระชับ เนื่องจากผลการสำรวจพบว่าผู้ชมส่วนใหญ่ใช้เวลาในการอ่านข้อมูลมากที่สุดเพียง 3 นาทีเท่านั้น

5. มีการสำรวจข้อมูลที่ใช้ในการนำเสนอมาเป็นอย่างดี ซึ่งหมายถึงมีการรวบรวมข้อมูลจากรอบด้านไม่ว่าจะเป็นข้อมูลจากโซเชียลมีเดีย, สถิติและข้อมูลสาธารณะเพื่อให้เห็นถึงมุมมองที่หลากหลายและมีความถูกต้องยิ่งขึ้น

6. นำเสนอหัวเรื่อง (Header) ที่ดึงดูดความสนใจและน่าติดตาม โดยผลสำรวจพบว่าผู้ชมกว่า 90% จะตามเข้าไปดูเนื้อหาบนอินโฟกราฟฟิกเพิ่มเติมหากพบว่าหัวเรื่องนำเสนอนั้นมีความน่าสนใจ

7. ออกแบบอินโฟกราฟฟิกให้มีความโดดเด่นสะดุดตา ซึ่งการออกแบบนอกจากช่วยเรื่องความสวยงามแล้วยังช่วยให้ผู้ชมสามารถเข้าถึงและทำความเข้าใจกับข้อมูลที่นำเสนอได้ง่ายยิ่งขึ้น

8. มีการบอกต่อและแชร์อินโฟกราฟฟิกไปอย่างกว้างขวางผ่านช่องทางต่างๆไม่ว่าจะเป็น โซเชียลมีเดียอย่าง Facebook, Twitter และ Pinterest รวมถึงการนำเสนออินโฟกราฟฟิกบนเว็บไซต์ที่เป็นแหล่งรวบรวมอินโฟกราฟฟิก เพื่อเพิ่มการมองเห็นจากผู้ชมเพิ่มมากขึ้น

9. ระบุและอ้างอิงถึงแหล่งที่มาของข้อมูลอย่างชัดเจน

10. มีการสรุปข้อมูลทั้งหมดที่นำเสนอ เพื่อช่วยให้ผู้ชมสามารถเข้าใจถึงใจความสำคัญของเนื้อหาที่นำเสนอได้อย่างถูกต้องและตรงประเด็น

ที่มา: thumbsup.in.th/2013/08/10-rules-about-infographics

 

Infographic เทรนด์มาแรงในสังคม “เครือข่ายนิยม”

เรื่อง : อาศิรา พนาราม

ช่วงนี้หลายคนคงได้ยินคำว่า “อินโฟกราฟิก” (Infographic) กันจนหูแฉะทั้งในเว็บเครือข่ายสังคมและสื่อสาธารณะทั่วไป

Infographic หรือ Information Graphic นี้คืออะไร ? หากแปลตรงตัวก็คือ ภาพหรือกราฟิกซึ่งบ่งชี้ถึงข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นสถิติ ความรู้ ตัวเลข ฯลฯ เรียกว่าเป็นการย่นย่อข้อมูลเพื่อให้ประมวลผลได้ง่ายเพียงแค่กวาดตามอง ซึ่งเหมาะสำหรับผู้คนในยุคไอทีที่ต้องการเข้าถึงข้อมูลซับซ้อนมหาศาลในเวลาอันจำกัด (ก่อนที่พวกเขาจะเบื่อหน่ายเสียก่อน) ด้วยเหตุนี้ “อินโฟกราฟิก” จึงเป็นเหมือนพระเอกขี่ม้าขาวผู้เข้ามาจัดการกับ “ข้อมูล-ตัวเลข-ตัวอักษร” ที่เรียงรายเป็นตับเหมือนยาขม ให้กลายร่างมาเป็นภาพที่สวยงาม

การทำอินโฟกราฟิกนี้ถือเป็นการเปิดโอกาสให้กราฟิกดีไซเนอร์ได้โชว์ทักษะด้านการสื่อสารกันแบบเต็มที่ เพราะอันที่จริงแล้ว การแปลงข้อมูลให้ออกมาเป็นภาพก็เป็นสิ่งที่คนทำกันมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นภาพถ่าย ภาพวาด กราฟิก กราฟรูปทรงต่างๆ ตาราง แผนที่ แผนผัง หรือไดอะแกรม แต่ทักษะทางด้านอินโฟกราฟิกนั้นจำเป็นต้องจัดระเบียบข้อมูลที่ทั้งมากและหลากหลายให้ “จบได้ในภาพเดียว”

กุหลาบของไนติงเกล อินโฟกราฟิกยุคบุกเบิก
ก่อนที่จะมาคลายข้อสงสัยกันว่า ทำไมถึงอินจัง? ลองกลับไปดูการทำงานของอินโฟกราฟิกในยุคแรกๆ กัน เราคงคิดไม่ถึงว่านอกจากฟลอเรนซ์ ไนติงเกล (Florence Nightingale) จะเป็นพยาบาลในตำนานผู้อุทิศตนดูแลคนไข้อย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อยแล้ว ไนติงเกลยังเป็นผู้ออกแบบอินโฟกราฟิกที่มีคุณูปการต่อการสาธารณสุข (ของทหารและชนชั้นล่าง) อย่างมหาศาล ด้วยการอุทิศเวลารวบรวมข้อมูลและออกแบบ “กุหลาบไนติงเกล” ไดอะแกรมทรงพลังระดับเปลี่ยนสังคมขึ้นมาได้

จากการได้เข้าไปดูแลทหารที่ผ่านสงครามมาในค่าย เธอพบว่า สิ่งที่คร่าชีวิตของทหารผ่านศึกได้ในจำนวนมากเท่าๆ กับทหารที่ตายในสงคราม ก็คือสภาพความเป็นอยู่ในสถานพยาบาลของทหารที่ทั้งสกปรกและแออัดยัดเยียด ทำให้เกิดการติดเชื้อรุนแรงและการสูญเสียชีวิตโดยไม่จำเป็น ไนติงเกลเสนอข้อมูลนี้ต่อรัฐ แต่สถาบันชั้นสูงไม่สนใจเสียงเรียกร้องของพยาบาลตัวเล็กๆ คนหนึ่ง เธอจึงคิดค้นหาทางนำเสนอข้อมูลใหม่โดยปรึกษากับนักสถิติศาสตร์ จนในที่สุด ไนติงเกลก็สามารถออกแบบ Diagram of the Causes of Mortality ที่เปรียบเทียบส่วนต่างของจำนวนการเสียชีวิตของทหารจากเหตุสุดวิสัย และเหตุที่สามารถป้องกันได้ด้วยการสาธารณสุขที่ดีขึ้น แทนที่จะนำเสนอเป็นตารางบรรจุข้อมูลยาวเหยียด ไดอะแกรมของไนติงเกลบ่งชี้ความต่างของข้อมูลด้วยสีและขยายพื้นที่ออกจากศูนย์กลางจนดูเหมือนกลีบดอกกุหลาบ (ในเวลาต่อมาผู้คนจึงเรียกผลงานชิ้นนี้ว่า Nightingale Rose Diagram)

ฟลอเรนซ์ ไนติงเกล รู้ว่าเธอมีเวลาดึงความสนใจจากผู้มีอำนาจได้ไม่มาก ฉะนั้น เธอจึงต้องนำเสนอข้อมูลในรูปแบบที่ทั้งดึงดูดที่สุดและเข้าใจง่ายที่สุดไปพร้อมกัน เธอเริ่มเผยแพร่ไดอะแกรมนี้สู่ผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้อง (ไปจนถึงพระราชินีวิคตอเรียที่ก็มีโอกาสได้ทอดพระเนตร) จนในที่สุด ข้อเสนอของเธอก็ถูกรับฟัง ส่งผลให้การสาธารณสุขในค่ายทหารค่อยๆ พัฒนาดีขึ้น

สร้างคลื่นพลังใหม่ในเครือข่ายสังคม

แม้อินโฟกราฟิกจะเกิดขึ้นมาเนิ่นนานในหลากหลายรูปแบบ แต่สิ่งที่ผลักดันให้มัน “อิน” สุดๆ ได้ ณ ขณะนี้ ก็เพราะมันได้มาทำงานร่วมกับ “เครือข่ายสังคม” ที่สามารถกระจายข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายเหมือนไฟลามทุ่ง

การใช้งานอินโฟกราฟิกเพื่อสื่อสารข้อมูลที่ซับซ้อนเริ่มได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในปี 2005 กระแสของมันแรงขึ้นมาพร้อมๆ กับเว็บอย่าง digg และ reddit ที่รวบรวมและเผยแพร่ข่าวสารบทความด้านเทคโนโลยี มันทำงานร่วมกับเครือข่ายสังคมโดยเปิดช่องทางให้ใครก็ได้โพสต์ข้อมูลที่น่าสนใจขึ้นมา และหากโพสต์นั้นเข้าท่า สมาชิกก็จะเข้ามาช่วยกัน “ขุด” (dig) ยิ่งโพสท์ไหนมียอดขุดเยอะก็จะยิ่งขึ้นมาอยู่ด้านบนเหนือโพสต์อื่นๆ เหตุนี้ทำให้บรรดาบล็อกเกอร์นักโพสต์ต่างแข่งขันกันจัดเต็มให้กับโพสต์ของตัวเอง ใส่ลูกเล่นกันเต็มที่ทั้งภาพ ดนตรี ไฟล์วิดีโอ ฯลฯ จนในที่สุด ก็มีคนหัวใสงัดเอาอินโฟกราฟิกขึ้นมาใช้เป็นไม้ตาย ทำให้มันได้รับความนิยมและแพร่กระจายอย่างรวดเร็วไปสู่วงการต่างๆ

ในต่างประเทศ อินโฟกราฟิกถือเป็นอาวุธสำคัญของสำนักข่าวต่างๆ ใครที่ออกแบบได้เจ๋ง สวย สื่อสารดี ก็จะถือไพ่เหนือกว่า เมื่อครั้งที่มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2008 สำนักข่าวทุกแห่งต่างพากันออกแบบอินโฟกราฟิกเพื่อรายงานความคืบหน้า คะแนนนิยม รวมไปถึงแคมเปญหาเสียงต่างๆ ของผู้สมัคร หลายคนยังใช้อินโฟกราฟิกเพื่อช่วยอธิบายถึงนโยบาย การใช้งบประมาณ และอื่นๆ ด้วย

ออกแบบอย่างไรให้โดนใจ
3 คำถามหลักที่นักออกแบบต้องตอบให้ได้ก่อนจะเริ่มทำอินโฟกราฟิกก็คือ ทำไม? อย่างไร? แล้วจะใช้งานได้ดีไหม? ซึ่งการจะสร้างอินโฟกราฟิกให้ออกมาดีนั้น นักออกแบบจำเป็นจะต้องมีพื้นฐานความเข้าใจในตัวข้อมูลที่ซับซ้อน ต้องรู้ชัดถึงจุดมุ่งหมายของอินโฟกราฟิก (เช่น ใครคือกลุ่มเป้าหมายที่จะสื่อสารด้วย) จากนั้นจึงค่อยหาวิธีแทนค่าตัวข้อมูลให้ปรากฏออกมาเป็นกราฟิกที่เรียบง่ายและสวยงาม ส่วนขั้นตอนสุดท้ายก็คือ การวัดผลว่า อินโฟกราฟิกที่ออกแบบมานั้นสามารถตอบโจทย์ได้ตรงหรือไม่ ถ้าไม่ก็ต้องกลับไปเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ (การวัดผลด้านการใช้งานถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะอินโฟกราฟิกไม่มีสูตรตายตัว)

เคล็ดลับสำหรับสุดยอดอินโฟกราฟิก
1. เรียบง่ายเข้าไว้ : จำไว้ว่าอินโฟกราฟิกที่ดูวุ่นวายยุ่งเหยิงนั้นไม่เคยใช้ได้ผล
2. ตรวจสอบข้อเท็จจริง : ข้อมูลที่ผิดพลาดจะเป็นตัวบั่นทอนเครดิตของนักออกแบบมากที่สุด ฉะนั้นต้องตรวจสอบข้อมูลรวมถึงพิสูจน์อักษรให้ถูกต้องเสมอ
3. ใช้สีให้เป็น : เลือกใช้สีเพื่อการสื่อสารที่ทรงพลัง ชัดเจน เข้าใจง่าย และต้องรู้จักอารมณ์ของสีให้ดี
4. ใส่เฉพาะตัวเลขที่จำเป็น : ตัวเลขเยอะๆ ไม่ได้หมายถึงการให้ข้อมูลที่ดีเสมอไป หลายครั้งตัวเลขที่มากเกินไปอาจทำให้เกิดความสับสนหรือสื่อสารผิดพลาดได้
5. ทำคำบรรยายให้น่าอ่าน : ลองสังเกตคำบรรยายใต้ภาพในจอโทรทัศน์เป็นตัวอย่าง เรื่องราวดีๆ จะยิ่งน่าสนใจขึ้นเมื่ออยู่กับภาพที่ดูดี
6. กระชับเนื้อหาเข้าไว้ : การนำเสนอภาพกราฟิกที่ดีที่สุดต้องการแค่สาระสำคัญที่ครบถ้วนด้วยจำนวนตัวอักษรที่จำกัด
7. ขนาดมีผล : สร้างงานด้วยไฟล์ที่มีขนาดเล็กที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้แต่ยังคงคุณภาพของงานที่ชัดเจนไว้ (เพื่อที่เวลาคนดาวน์โหลดหรือนำไปเผยแพร่ต่อจะได้สะดวกรวดเร็ว)
8. ลองสมัครสมาชิก Daily Infographic เพื่อหาแรงบันดาลใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลงานคุณภาพเจ๋งๆ

ที่มา: http://www.tcdc.or.th/src/16562/www-tcdcconnect-com/Infographic

 

อินโฟกราฟฟิกที่ดี โดย สฤณี อาชวานันทกุล

อินโฟกราฟฟิกที่ดี (1): ข้อมูลคือหัวใจ
http://thaipublica.org/2012/09/good-infographics-1

อินโฟกราฟฟิกที่ดี (2): ใช้กราฟให้เป็น
http://thaipublica.org/2012/11/good-infographics-2

อินโฟกราฟฟิกที่ดี (3): สื่อให้เห็นความหมาย
http://thaipublica.org/2013/01/good-infographics-3

อินโฟกราฟฟิกที่ดี (จบ): อย่าตายน้ำตื้นกับสถิติ
http://thaipublica.org/2013/03/good-infographics-end

Infographics คืออะไร และ นำไปใช้งานอย่างไร

Infographicsคืออะไร และ นำไปใช้งานอย่างไร

 

       

Infographics คืออะไร 

       Infographic ย่อมาจาก Information Graphic คือ ภาพหรือกราฟิกซึ่งบ่งชี้ถึงข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นสถิติ ความรู้ ตัวเลข ฯลฯ เรียกว่าเป็นการย่นย่อข้อมูลเพื่อให้ประมวลผลได้ง่ายเพียงแค่กวาดตามอง ซึ่งเหมาะสำหรับผู้คนในยุคไอทีที่ต้องการเข้าถึงข้อมูลซับซ้อนมหาศาลในเวลาอันจำกัด ( เหตุผลเพราะมนุษย์ชอบและจดจำภาพสวยๆ ได้มากกว่าการอ่าน )  และในปัจุบันกำลังเป็นที่นิยมในโลกของ Social Netword

       ประโยชน์และพลังของ Infographic นั้นมีอยู่มากมาย เพราะด้วยแผนภาพสวยๆนี้ สามารถทำให้คนทั่วๆไปสามารถเข้าถึง เข้าใจ ข้อมูลปริมาณมากๆ ด้วยแผนภาพภาพเดียวเท่านั้น ด้วยข้อมูลที่ถูกคัดกรองมาเป็นอย่างดี ทำให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่าย เป็นวิธีการนำเสนอข้อมูลเชิงสร้างสรรค์ ซึ่งเราสามารถหยิบยกเรื่องราวเล็กๆ ไปจนถึงเรื่องราวใหญ่โตมานำเสนอ ในมุมมองที่แปลกตา ทันสมัย ทันต่อเหตุการณ์ในโลกปัจจุบัน  โดยรูปแบบหรือประเภทของ Infographic ตามวัตถุประสงค์ในการใช้งาน สามารถจัดหมวดหมู่ใหญ่ๆได้ดังนี้

1.ข่าวเด่น ประเด่นร้อน และสถานการณ์วิกฤต 

    เป็น Infographics ที่ได้รับการแชร์มากๆ มักจะเป็นประเด็นใหญ่ระดับประเทศ เช่น ประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

2.สอน ฮาวทู

   บอกเล่ากลยุทธ์ต่างๆอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เช่น เล่าถึงกลยุทธ์การออมเงิน ที่ใครๆก็มักมองข้าม

3.ให้ความรู้

    ในรูปแบบของ Did You Know หรือ สถิติสำคัญทางประชากรต่างๆตลอดจนการถ่ายทอดความรู้ทางวิชาการที่น่าเบื่อ ให้มีสีสัน สนุก และ น่าติดตาม

4.บอกเล่าตำนานหรือวิวัฒนาการ

 เรื่องราวบางอย่างอาจต้องถ่ายทอดผ่านตำราหนาๆ แต่ด้วย Infographics จะช่วยทำให้ตำนานเหล่านั้นบรรจุอยู่ในพื้นที่ๆจำกัดได้อย่างน่าทึ่ง 

5.อธิบายผลสำรวจ และ งานวิจัย

   Infographics เหมาะที่สุดที่จะถ่ายทอดงานวิจัยที่ดูยุ่งเหยิงไปด้วยตัวเลขและข้อมูลมหาศาลออกมาเป็นแผนภาพสวยๆและทรงพลัง มีหลายบริษัทเริ่มใช้เครื่องมือนี้ เพื่อทำให้งานวิจัยของตัวเองเข้าถึงคนหมู่มาก

6.กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม

   เช่น ภัยของการสูบบุรี่ที่มีต่อคนสูบและคนที่ไม่ได้สูบแต่ต้องได้รับผลกระสูบจากการสูบบุรี่ด้วย ขอเท็จจริงเหล่านี้ล้วนมุ่งหวังให้คนอ่านเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนในสังคมให้ดีขึ้น หากได้รับการแชร์มากๆในโลกออนไลน์ ก็อาจสร้างกระแส จนถึงขั้นนำพาไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในโลกออนไลน์ในที่สุด

7.โปรโมทสินค้าและบริการ

    ตัวอย่างการใช้ Infographic ในการ โปรโมทสินค้า

    เหตุผลว่าทำไมถึงเปลี่ยนไปใช้ Nokia Lumia ในสไตล์ Infographic

 

เหตุผลอันดับหนึ่งที่มาพร้อมกับตัวเลขที่สูงถึง 25% กล่าวว่าเหตุผลที่ต้องการใช้ Nokia Lumia นั้นเป็นเพราะมั่นใจในแบรนด์ ชื่อดัง

และยังหลงรักหรือเป็นแฟนพันธุ์แท้ของ Nokia อย่างเหนียวแน่น ในขณะที่เหตุผลอันดับสองที่ตามมาที่ 20.8% กล่าวว่า ชอบในการ

ออกแบบที่มีความโดดเด่นและไม่เหมือนใครของ Nokia Lumia อย่างไรก็ตามภาพ Infographic ที่ Nokia จัดทำขึ้นนี้เป็นส่วนหนึ่ง

ของการโปรโมทแคมเปญที่มีชื่อว่า “Switched to Lumia” ซึ่ง Nokia ตั้งใจให้เห็นถึงเหตุผลของความต้องการที่จะเปลี่ยนใจมาใช้

  Nokia Lumia นั่นเอง

 

     The Power of Visual Storytelling


     ปรากฎการณ์ที่เห็นเด่นชัดในทุกวันนี้คือ Infographic แทรกซึมและซอกซอนไปได้ในทุกๆสื่อ ทั้งหนังสือพิมพ์ นิตยสาร และสื่อ

DIgital อย่าง Website ,Blog และ Social Media รู้หรือไม่ว่าคำว่า Infograpphics มีการรายงานสืบค้นใน Google มากถึง 14.5 ล้าน

ข้อมูล ณ.วันที่ 15 พย. 2555 เพิ่มขึ้นถึง 800% ภายในระยะเวลาเพียง 2 ปีเท่านั้น

     พลังของ Infographic มีผลต่อการรับรู้ของมนุษย์โดยตรง ตัวอย่างที่มักมีการหยิบยกไปอ้างอิงอยู่เสมอ คือ 90% ของข้อมูลที่เข้า

สู่สมองของคนเราคือข้อมูลที่เป็นรูปภาพ เพราะรูปภาพและไอคอนกราฟฟิกต่างๆเร้าความสนใจได้ดีกว่า คนจดจำเรื่องราวจากการ

อ่านได้เพียง20% และ 40%ของผู้บริโภคจะตอบสนองต่อข้อมูลที่เป็นรูปภาพมากว่าข้อมูลที่เป็นตัวหนังสือธรรมดา และการ Post 

Infographic ใน social Media อย่าง Twitter จะมีการ ReTwitter มากกว่าการ Post ในรูปแบบเทรดดิชั่นแนลถึงขณะที่ 45% ของผู้

ใช้งาน Website จะ Click Link นั้น หากเป็นข้อมูล Infographics ขณะที่ 30% จะ Forword หรือ Shareต่อข้อมูลนั้นจะไร้สาระหรือ

ไม่มีประโยชน์ใดๆก็ตาม

 

แหล่งที่มา 

https://www.facebook.com/infographic.thailand

http://www.flashfly.net/wp/?p=33832

http://www.marketplus.in.th/

http://www.socialpost.in.th

https://www.facebook.com/Pasit.CRM 

 

 

การจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศ

 

เทคโนโลยีสารสนเทศ

Image

คำว่าเทคโนโลยี หมายถึง การประยุกต์เอาความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์มาใช้ให้เกิดประโยชน์ การศึกษาพัฒนาองค์ความรู้ต่าง ๆ ก็เพื่อให้เข้าใจธรรมชาติ กฎเกณฑ์ของสิ่งต่าง ๆ และหาทางนำมาประยุกต์ให้เกิดประโยชน์ เทคโนโลยีจึงเป็นค้าที่มีความหมายกว้างไกล เป็นคำที่เราได้พบเห็นและได้ยินอยู่ตลอดมาลองนึกดูว่าทรายที่เราเห็นอยู่บนพื้นดิน ตามชายหาด ชายทะเลเป็นสารประกอบของซิลิกอน ทรายเหล่านั้นมีราคาต่ำและเรามองข้ามไป ครั้งมีบางคนที่เรียนรู้วิธีการแยกสกัดเอาสารซิลิกอนให้บริสุทธิ์ และเจือสารบางอย่างให้เกิดเป็นสิ่งที่เรียกว่าสารกึ่งตัวนำ นำมาผลิตเป็นทรานซิสเตอร์ และไอซี (Integrated Circuit : IC) ไอซีนี้เป็นอุปกรณ์ที่รวมวงจรอิเล็กทรอนิกส์จำนวนมากไว้ด้วยกัน ใช้เป็นชิพซึ่งเป็นส่วนสำคัญของคอมพิวเตอร์ สารซิลิกอนดังกล่าวเมื่อผ่านกรรมวิธีทางเทคโนโลยีแล้วจะมีราคาสูงสามารถนำมาขายได้เงินเป็นจำนวนมาก ดังนั้นเทคโนโลยีจึงเป็นหัวใจของการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า และผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เพราะเรานำเอาวัตถุดิบมาผ่านเทคนิคการดำเนินการ จะได้วัตถุสำเร็จรูป สินค้าเหล่านี้จะมีมูลค่าเพิ่มจากวัตถุดิบนั้นมาก ประเทศใดมีเทคโนโลยีมากมักจะเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว เทคโนโลยีจึงเป็นหาทางที่จะช่วยในการพัฒนาให้สินค้าและบริการมีมูลค่าเพิ่มขึ้น ทุกประเทศจึงให้ความสำคัญของการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้ามาช่วยงานด้านต่าง ๆส่วนคำว่าสารสนเทศ หมายถึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ มนุษย์แต่ละคนตั้งแต่เกิดมาได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก เรียนรู้สภาพสังคมความเป็นอยู่ กฎเกณฑ์และวิชาการ ลองจินตนาการดูว่าภายในสมองของเราเก็บข้อมูลอะไรบ้าง เราคงตอบไม่ได้ แต่สามารถเรียกเอาข้อมูลมาใช้ได้ ข้อมูลที่เก็บไว้ในสมองเป็นสิ่งที่สะสมกันมาเป็นเวลานาน ความรอบรู้ของแต่ละคนจึงขึ้นอยู่กับการเรียกใช้ข้อมูลนั้น ดังนั้นจะเห็นได้ชัดความรู้เกิดจากข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ทุกวันนี้มีข้อมูลรอบตัวเรามาก ข้อมูลเหล่านี้มาจากสื่อ เช่น วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ หรือแม้แต่การสื่อสารระหว่างบุคคล จึงมีผู้กล่าวว่ายุคนี้เป็นยุคของสารสนเทศ

 

 

รูปแสดงสื่อที่ช่วยในการรับส่งข้อมูล

 

ภายในสมองมนุษย์ซึ่งเป็นที่เก็บข้อมูลไว้มากมายจะมีข้อจำกัดในการจัดเก็บ การเรียกใช้ การประมวลผล และการคิดคำนวณ ดังนั้นจึงมีผู้พยายามสร้างเครื่องจักรเครื่องมือ เพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการจัดการสารสนเทศ เช่นเครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งสามารถเก็บข้อมูลไว้ในหน่วยความจำได้มาก สามารถให้ข้อมูลได้แม่นยำและถูกต้องเมื่อมีการเรียกค้นหา ทำงานได้ตลอดวันไม่เหน็ดเหนื่อย และยังส่งข้อมูลไปได้ไกลและรวดเร็วมาก เครื่องจักรอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับสารสนเทศนั้นมีมากมายตั้งแต่เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์รอบข้าง ระบบสื่อสารโทรคมนาคมสมัยใหม่ ทำให้เกิดงานบริการที่อำนวยความสะดวกต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น การฝากถอนเงินผ่านเครื่องเอทีเอ็ม (Automatic Teller Machine : ATM) การจองตั๋วดูภาพยนตร์ การลงทะเบียนเรียนในโรงเรียนเมื่อรวมคำว่าเทคโนโลยีกับสารสนเทศเข้าด้วยกัน จึงหมายถึงเทคโนโลยีที่ใช้จัดการสารสนเทศ เป็นเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องตั้งแต่การรวบรวมการจัดเก็บข้อมูล การประมวลผล การพิมพ์ การสร้างรายงาน การสื่อสารข้อมูล ฯลฯ เทคโนโลยีสารสนเทศจะรวมไปถึงเทคโนโลยีที่ทำให้เกิดระบบการให้บริการ การใช้ และการดูแลข้อมูลเทคโนโลยีสารสนเทศจึงมีความหมายที่กว้างขวางมาก นักเรียนจะได้พบกับสิ่งรอบ ๆ ตัวที่เกี่ยวกับการใช้สารสนเทศอยู่มาก ดังนี้

  • การเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นวิธีการรวบรวมข้อมูลเข้าสู่ระบบ นักเรียนอาจเห็นพนักงานการไฟฟ้าไปที่บ้านพร้อมเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กเพื่อบันทึกข้อมูลการใช้ไฟฟ้า ในการสอบแข่งขันที่มีผู้สอบจำนวนมาก ก็มีการใช้ดินสอระบายตามช่องที่เลือกตอบ เพื่อให้เครื่องอ่านเก็บรวบรวมข้อมูลได้ เมื่อไปซื้อสินค้าที่ห้างสรรพสินค้าก็มีการใช้รหัสแท่ง (bar code) พนักงานจะนำสินค้าผ่านการตรวจของเครื่องเพื่ออ่านข้อมูลการซื้อสินค้าที่บรรจุในรหัสแท่ง เมื่อไปที่ห้องสมุดก็พบว่าหนังสือมีรหัสแท่งเช่นเดียวกันการใช้รหัสแท่งนี้เพื่อให้ง่ายต่อการเก็บรวบรวมwbr>wb
  • การประมวลผล ข้อมูลที่เก็บมาได้มักจะเก็บในสื่อต่าง ๆ เช่น แผ่นบันทึก แผ่นซีดี หรือเทป เป็นต้น ข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำมาประมวลผลตามต้องการ เช่น แยกแยะข้อมูลเป็นกลุ่ม เรียงลำดับข้อมูล คำนวณ หรือจัดการคัดแยกข้อมุลที่จัดเก็บนั้น

     

    รูปแสดง การประมวลผลให้ออกมาในรูปเอกสาร

     

  • การแสดงผลลัพธ์ อุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยีในการแสดงผลลัพธ์มีมาก สามารถแสดงเป็นตัวหนังสือ เป็นรูปภาพ ตลอดจนพิมพ์ออกมาที่กระดาษ การแสดงผลลัพธ์มีทั้งที่แสดงเป็นภาพ เป็นเสียง เป็นวีดิทัศน์ เป็นต้น

     

    รูปแสดง การแสดงผลลัพท์ทางหน้าจอคอมพิวเตอร์

     

  • การทำสำเนา เมื่อมีข้อมูลที่จัดเก็บในสื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ การทำสำเนาจะทำได้ง่าย และทำได้เป็นจำนวนมาก ดังนั้นอุปกรณ์ช่วยในการทำสำเนา จัดได้ว่าเป็นเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง เรามีเครื่องพิมพ์ เครื่องถ่ายเอกสาร อุปกรณ์การเก็บข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ เช่น จานบันทึก ซีดีรอม ซึ่งสามารถทำสำเนาได้เป็นจำนวนมาก
  • การสื่อสารโทรคมนาคม เป็นวิธีการที่จะส่งจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง หรือกระจายออกไปยังปลายทางครั้งละมาก ๆ ปัจจุบันมีอุปกรณ์ระบบสื่อสารโทรคมนาคมหลายประเภท ตั้งแต่โทรเลข โทรศัพท์ เส้นใยนำแสง เคเบิลใต้น้ำ คลื่นวิทยุไมโครเวฟ ดาวเทียม เป็นต้น

อ้างอิง http://www.school.net.th/library/snet1/network/it/#sect2